6 วิธีง่ายๆ สอนลูกจิตใจงาม สร้างภูมิคุ้มกันให้ลูก
คำสอนพระไพศาล วิสาโล
สร้างภูมิคุ้มกันให้ลูก
พ่อแม่ทุกคนไม่ได้อยากให้ลูกเป็นแค่คนเก่งเท่านั้น หากยังอยากเห็นลูกมีชีวิตที่ดีงามและเป็นสุข ลูกเรียนเก่งหรือร่ำรวย ย่อมไม่มีความหมายสำหรับพ่อแม่ หากลูกเป็นทุกข์ ทุจริต หรือติดอบายมุข
แต่การมีชีวิตที่ดีงามและเป็นสุขในโลกทุกวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องมีสิ่งคุ้มกันตนให้อยู่รอดปลอดภัยจากอันตรายซึ่งมีอยู่รอบตัว ไม่ถูกล่อลวงชักนำให้ถลำไปในทางที่ผิด ขณะเดียวกันก็ต้องรู้จักคิด ใฝ่เรียนรู้สิ่งดีงาม
และสร้างสรรค์คุณค่าให้แก่ชีวิต
วิชาความรู้นั้นช่วยให้ลูกเป็นคนเก่ง แต่ถ้าต้องการให้ลูกเป็นคนดีและมีความสุข ก็ต้องสอนลูกให้รู้จัก "บุญ" ด้วย บุญนั้น ถ้ารู้จักและทำอย่างถูกต้อง จะเป็นทั้งภูมิคุ้มกันและรั้วป้องกันไม่ให้อันตรายล่วงล้ำเข้ามาได้
ช่วยให้ลูกแก้ปัญหาชีวิตตนเองได้ (จัดการกับความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองได้) อีกทั้งยังเป็นสิ่งหล่อเลี้ยงจิตใจให้สงบร่มเย็นและเป็นสุข
บุญแปลว่า เครื่องชำระให้สะอาดบริสุทธิ์
บุญยังแปลว่าความอิ่มเอิบเบิกบานใจ เพราะได้ทำความดีและได้สร้างสรรค์ความเจริญงอกงามให้เกิดขึ้น คนเราทุกคนต้องการทำความดี อยากให้ความดีภายในได้เปล่งประกายออกมา
เหมือนกับดอกไม้ที่อยากเบ่งบาน สยายกลีบ โดยไม่สนใจว่าาจะมีคนเห็นหรือไม่ การทำความดีช่วยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ดุจเดียวดับดอกไม้ที่บรรลุความสมบูรณ์เมื่อได้สร้างความงดงามให้แก่โลก
6 ข้อที่สามารถสอนลูกได้ง่ายๆ ให้รู้จักทำบุญ เพื่อจะเป็นภูมิคุ้มกันให้ลูกไปตลอดชีวิต
1. ผู้ให้ความสุขย่อมได้ความสุข
บุญนั้นเริ่มต้นด้วยการรู้จักให้ การให้(หรือทาน) ช่วยให้เราไม่คิดจะเอาเข้าตัวอยู่ร่ำไป ชีวิตที่คิดแต่จะเอาเป็นชีวิตที่ไม่สมดุล จิตที่คิดแต่จะเอาเป็นจิตที่คับแคบ เห็นแก่ตัว ทำให้เป็นคนไม่น่ารัก และมีความสุขยาก
เด็กๆ เติบโตขึ้นมาได้เพราะเป็นฝ่ายรับจากผู้อื่นมาตั้งแต่เกิด ทั้งน้ำนม อาหาร ความอบอุ่น ตลอดจนความรู้ แต่ถ้าไม่รู้จัก ก็จะเกิดความเข้าใจผิดว่าชีวิตนี้เกิดมาเพื่อจะเป็นผู้รับฝ่ายเดียวเท่านั้น
การสอนเด็กให้รู้จักให้ คือการสอนบทเรียนชีวิตข้อแรกว่า เมื่อรับแล้วต้องรู้จักให้ ต้นไม้ทุกต้นเติบโตเพราะดูน้ำ และอาหารจากพื้นดิน แต่เวลาเดียวกัน เขาก็รู้จักคายน้ำและทิ้งกิ่งใบให้เป็นปุ๋ย
เป้นการตอบแทนผืนดินที่หล่อเลี้ยงเขามา อีกทั้งยังให้อาหารและที่พักพิงแก่เพื่อนร่วมโลก เช่น นก กระรอก รวมทั้งมนุษย์
แต่การให้มิได้หมายถึงการตอบแทน หรือเป็นเพียงหน้าที่เท่านั้น การให้ยังช่วยให้เราได้รับความสุข การสอนลูกให้รู้จักให้ คือการสอนให้เขารู้จักความสุขจากการให้ "ผู้ให้ความสุขย่อมได้ความสุข" เป็นสัจธรรมที่เด็กควรรับรู้
ด้วยเหตุนี้ ผู้ใหญ่สมัยก่อนจึงนิยมพาลูกหลานใส่บาตรตั้งแต่ยังตัวเล็กๆ ทีแรกก็เป็นฝ่ายเฝ้าดูพ่อแม่หรือตายายเอาอาหารหวานคาวใส่บาตร ต่อมาก็ใส่บาตรด้วยตนเอง ใส่แล้วก็พนมมือจรดหัว
การถวายของให้พระถือว่าเป็นบุญ แต่บุญไม่ได้จำกัดอยู่แค่นั้น ให้ของแก่ผู้อื่น โดยเฉพาะคนที่ยากลำบาก ก็ถือว่าเป็นบุญ เช่นกัน ลูกๆ
สามารถทำบุญได้ด้วยการสละของเล่นให้แก่เด็กยากจนหรือเด็กด้อยโอกาสในเมืองและในชนบท หรือให้เงินช่วยคนพิการ
นอกจากให้เงินหรือสิ่งของแล้ว การให้ชีวิตแก่สัตว์ก็เป็นบุญเหมือนกัน เช่น ช่วยปลาที่ติดปลักให้กลับคืนสู่แม่น้ำลำคลองแม้แต่ต้นไม้ที่เหี่ยวแห้งใกล้ตาย ช่วยรดน้ำให้เขา ก็เป็นบุญเช่นกัน
2. โลกสวยด้วยน้ำใจ
จะให้อะไร ราคาเท่าไหร่ ไม่สำคัญเท่ากับน้ำใจที่คิดจะให้ พ่อแม่จะช่วยลูกได้มากหากสอนให้ลูกตระหนักว่า แม้เขาจะมีกำลังน้อย มีเงินไม่มาก แต่เขาก็สามารถทำบุญได้เท่าเทียมผู้ใหญ่
หากเขามีน้ำใจคุณค่าของคนเรามิได้อยู่ที่วัยหรือชื่อเสียงเงินทอง แต่อยู่ที่คุณภาพของใจต่างหาก ถึงจะไม่มีเงินให้ แต่ถ้ามีน้ำใจเสียแล้ว ก็สามารถให้สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าเงิน
เช่น ด.ญ.เฟอร์ เมื่อพบว่าลูกพี่ลูกน้องวัย 10 ขวบ ป่วยด้วยโรคมะเร็ง เธออยากจะช่วยมาก จึงวาดการ์ตูนเพื่อหาเงินไปเป็นค่ารักษาน้อง หนังสือการ์ตูนของเด็กหญิงวัย 12 ปี แม้จะไม่สวยงามเท่ากับของผู้ใหญ่
แต่น้ำใจอันยิ่งใหญ่ของเธอ ชักชวนให้ผู้อ่านพากันบริจาคเงินช่วยน้องของเธอ จนบัดนี้ เขาเกือบจะหายเป็นปกติแล้ว
ด.ญ.แก้วใจ เป็นอีกคนหนึ่งที่มีน้ำใจเสียสละ ทุกคืนหลังเลิกเรียน เธอจะติดรถไปกับพ่อแม่เพื่อช่วยผู้ประสบอุบัติเหตุบนท้องถนน เธอจะช่วยจดชื่อที่อยู่และทะเบียนรถที่ประสบเหตุ
บางครั้งก็ต้องช่วยโบกรถและอุ้มคนเจ็บพาส่งโรงพยาบาล แม้จะอายุเพียง 14 ปี แต่ความเสียสละของเธอนั้น ยากที่ผู้ใหญ่จะทำได้
การเสียสละเพื่อส่วนรวม หรือลงมือลงแรงเพื่อช่วยผู้อื่น เป็นบุญอีกอย่างหนึ่ง บุญอย่างนี้เด็กๆ สามารถทำได้ในชีวิตประจำวัน
เช่น เก็บเศษแก้วหรือตะปูที่ขวางทาง เก็บขยะในละแวกบ้าน ช่วยเหลืองานของโรงเรียน ถือของให้ผู้สูงอายุ ช่วยคนพิการทางสายตาข้ามถนน ปลูกต้นไม้ในที่สาธารณะ
นิสัยเช่นนี้ปลูกฝังได้ด้วยการสอนให้ลูกรู้จักช่วยงานบ้าน แม้จะมีคนใช้ก็ตาม
3. อยู่อย่างไม่เบียดเบียน
การช่วยเหลือผู้อื่นจะเป็นไปได้ ก็ต้องเริ่มต้นด้วยการรู้จักรักษาตนไม่ให้ก่อความเดือนร้อนแก่ใคร หรือเอาเปรียบส่วนรวม เช่น การฆ่าสัตว์ ลักขโมย ฉ้อโกง ล่วงละเมิดของรักของสงวนของผู้อื่น
โกหก หรือเข้าหาสิ่งเสพติด บุญประเภทนี้เราเรียกว่า "ศีล"
พ่อแม่ที่สอนลูกไม่ให้เบียดเบียนใคร ไม่ว่าบุคคลหรือส่วนรวม เท่ากับสร้างรั้วป้องกันไม่ให้ความเดือดเนื้อร้อนใจเข้ามาใกล้ตัว ความชะล่าใจเพียงเล็กน้อยอาจนำไปสู่ความผิดพบาดอันยิ่งใหญ่ได้
ดังนั้นพ่อแม่จึงไม่ควรนิ่งดูดายหากลูกขโมยปากกาของเพื่อน ลอกการบ้าน ทุจริตในห้องสอบ หรือฆ่าสัตว์ตัดชีวิต พฤติกรรมที่ดีนั้นนอกจากจะช่วยให้ไม่ไปเบียดเบียนใครแล้ว
ยังช่วยให้เราไม่เบียดเบียนตนเองด้วย คนทำดีย่อมมีความสุข สุขทั้งตนเองและคนรอบตัว
การกินอยู่ให้เป็น รู้จักใช้ของ ก็เป็นส่วนหนึ่งของพฤติกรรมที่เรียกว่าศีล เช่น กินง่ายอยู่ง่าย เลือกกินสิ่งที่มีประโยชน์ไม่ตามใจลิ้นจนเป็นโทษแก่ร่างกาย
ข้อนี้รวมถึงการใช้เทคโนโลยีต่างๆ อย่างเหมาะสม ไม่หมกมุ่นหรือสิ้นเปลือง เช่น ใช้โทรศัพท์มือถืออย่างเป็นเวลา ดูโทรทัศน์เมื่อทำการบ้านหรืองานเสร็จแล้ว เล่นเกมคอมพิวเตอร์พอประมาณ เมื่อกินเป็นใช้เป็นแล้ว
ขั้นต่อมาคือสอนให้ลูกจับจ่ายใช้สอยเป็นรู้จักประหยัด ไม่ติดนิสัยช็อปปิ้ง อวดร่ำอวดรวยแข่งกัน หรือหลงติดอบายมุข อาทิ การพนัน การเที่ยวสถานเริงรมย์
4. ทำบุญที่ใจ
คนเราสามารถทำบุญได้ตลอดเวลา ไม่ว่าที่บ้าน ที่โรงเรียน หรือบนท้องถนน ไม่มีเงินหรือไม่ใช้เงินเลย ก็ทำบุญได้ แม้กระทั่งอยู่เฉยๆ แต่ทำใจให้ลูกต้อง จนเกิดความรู้สึกดีๆ ขึ้นมา ก็เป็นบุญ
เช่น ยินดีปลาบปลื้มเมื่อเห็นคนอื่นทำความดี ไม่อิจฉา หรือค่อนแคะเขาว่าอยากดัง การสอนให้ลูกชื่นชมคนดีคือการสร้างนิสัยใฝ่ดีขึ้นมาในตัวเด็ก
ขณะเดียวกัน เมื่อทำความดี ก็ไม่หวงความดีไว้คนเดียว ชักชวนหรือเปิดโอกาสให้คนอื่นมาร่วมทำความดีด้วย ตลอดจนแผ่บุญกุศลจากความดีนั้นให้แก่คนอื่น ให้เขาได้รับประโยชน์ด้วย นี้ก็เป็นบุญด้วยเช่นกัน
การทำบุญที่ใจอีกอย่างหนึ่ง ได้แก่ มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ถือตัวถือตนหรือดูถูกผู้อื่น เพราะเห็นว่าเขามีอายุน้อยกว่าเรียนมาน้อยกว่า หรือมีฐานะต่ำกว่า แม้กับคนงานหรือคนรับใช้ในบ้าน
ก็ไม่ใช้อำนาจบาตรใหญ่กับเขา ข้อนี้รวมถึงการไม่ดูถูกคนที่นับถือศาสนาอื่นด้วย
การทำบุญที่ใจ ทำให้เป็นกุศล และมีความสุข ตรงกันข้าม การอิจฉาคนอื่นที่ทำดีกว่าตน หรือถือตัวถือตน ทำให้จิตใจเร่าร้อนและเครียดง่าย แต่ถ้าอยากให้ลูกมีสุขภาพใจที่สมบูรณ์
พ่อแม่ ควรสอนลูกให้รู้จักฝึกจิตใจให้มีภูมิคุ้มกันความทุกข์ ฉลาดในการจัดการกับสิ่งต่างๆ ที่มากระทบใจด้วย
5. ฝึกใจให้สงบเบาสบาย
สมาธิช่วยให้ใจสงบง่าย ดับความโกรธความเร่าร้อนได้ดี เวลาลูกโมโห ควรแนะให้ลูกหายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ สัก 4-5 ครั้งเป็นอย่างน้อย แต่สมาธิจะได้ผลดี ต้องฝึกเป็นประจำแม้ในยามปกติ วิธีฝึกมีหลายอย่าง
เช่น จดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้าออก หรือเดินช้าๆ ด้วยความสงบ ถ้าพ่อแม่ทำร่วมกับลูกด้วย จะได้ผลมาก การทำเป็นกิจวัตรแม้เพียงวันละ 5 นาที ช่วยพัฒนาจิตใจได้มาก
สำหรับเด็กเล็กๆ พ่อแม่อาจใช้เกมช่วยให้เด็กมีสมาธิได้ เช่น ให้เด็กเคลื่อนไหวช้าๆ โดยเคลื่อนอวัยวะทีละส่วน เหมือนกับเป็นตุ๊กตาหุ่นยนต์ โดยมีกติกาให้เด็กสังเกตความรู้สึกทุกส่วนที่เคลื่อนไหว
วิธีนี้จะทำให้เด็กสนุกกับการจดจ่อและระลึกรู้ร่างกายของตนเอง
ความจริง การฝึกสมาธิสามารถทำได้กับกิจกรรมทุกอย่าง เช่น มีสมาธิกับการถูฟัน ล้างจาน หรือทำการบ้าน อ่านหนังสือ นอกจากนั้น การสอนให้เด็กทำอะไรเป็นอย่างๆ ไม่ทำอะไรพร้อมกันหลายคนอย่างเวลาเดียวกัน
เช่น กินข้าวไปด้วย อ่านหนังสือไปด้วย จะช่วยฝึกจิตให้มีสมาธิ ไม่ฟุ้งซ่านง่าย
ก่อนนอนเป็นโอกาสดีอีกช่วงหนึ่งที่พ่อแม่สามารถฝึกลูกๆ ให้มีสมาธิได้ โดยชวนลูกให้สวดมนต์ไหว้พระอย่างง่ายๆ เช่น กล่าวนะโม 3 จบ และกล่าวไตรสรณคมน์ (เริ่มต้นด้วยพุทธัง สะระณัง คัจฉามิ)
3 จบ จากนั้นแนะนำให้ลูกกราบพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ 3 ครั้ง อีก 2 ครั้งกราบเพื่อระลึกถึงคุณของบิดามารดาและคุณของครูบาอาจารย์ทั้งหลาย แล้วทำใจสงบสักพักก่อนจะเข้านอน
การแผ่เมตตาเป็นการฝึกจิตให้มีภูมิต้านทานความโกรธได้เป็นอย่างดี ความโกรธนั้นยิ่งสะสมก็ยิ่งเผาลนใจให้รุ่มร้อน พ่อแแม่ควรสอนลูกแผ่เมตตาก่อนนอน
เริ่มจากคนใกล้ตัวไปจนถึงคนที่มีเรื่องโกรธเคืองหรือผิดใจกัน การให้อภัยเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้ใจสงบเย็น
การสร้างเมตตาในใจ ยังทำได้ด้วยการหมั่นชื่นชมผู้คนและสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัว ไม่เฉพาะแต่พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ แต่รวมถึงคนรถ คนงานในบ้าน นักการที่โรงเรียน เป็นต้น โดยตระหนักว่าคนเหล่านี้ทำให้ชีวิตของเราเป็นไปด้วยดี
ชื่นชมและขอบคุณแม้กระทั่งต้นไม้ ภูเขา ทะเล รวมทั้งข้าวของเครื่องใช้ เช่น ดินสอ กระเป๋า ผ้าห่ม รถยนต์ ช่วยให้จิตใจอ่อนโยนเกิดความรักความห่วงใหญ่ในธรรมชาติ ไม่ใช้สิ่งต่างๆ อย่างทิ้งๆ ขว้างๆ
หากลูกยังเล็กอยู่ พ่อแม่ควรสอนให้หมั่นรดน้ำต้นไม้ หรือเลี้ยงสัตว์ พร้อมกันนั้นก็แนะให้ลูกน้อมใจแผ่เมตตาว่า ขอให้ต้นไม้และสัตว์เป็นสุข พ้นทุกข์ทั้งปวง หาทำได้ทุกเช้าเย็นเด็กจะเปี่ยมด้วยเมตตา
การแผ่เมตตามีอานิสงส์มาก พระพุทธองค์ตรัสว่ามีผลมากกว่าการถวายอาหารแก่พระองค์หรือพระอรหันต์ถึงร้อยองค์ด้วยซ้ำ เพราะเป็นการกระทำที่ส่งผลต่อจิตใจให้เป็นกุศลโดยตรง
6. อบรมจิตให้คิดชอบ
ฝึกใจให้สงบแล้ว ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้น ควรฝึกใจให้มีปัญญาด้วย คือ คิดถูกคิดชอบ เมื่อประสบกับสิ่งใดก็ตาม ก็เอาความถูกต้องเป็นหลัก ไม่ใช่ดูว่าถูกใจหรือไม่ เวลาถูกตักเตือน แม้ไม่ถูกใจ
แต่ก็รับฟังเพื่อมาใคร่ครวญว่าที่เขาพูดนั้นถูกต้องไหม ท่าทีแบบนี้นอกจากจะทำให้ไม่ทุกข์เวลาถูกตำหนิแล้ว ยังจะได้ประโยชน์จากคำตำหนิด้วย
ในทำนองเดียวกัน เวลากินอาหารก็ไม่ได้เลือกเพราะถูกใจหรือถูกลิ้น แต่เพราะเห็นว่ามีประโยชน์ต่อร่างกายและราคาพอเหมาะพอควร การรู้จักคิดจะช่วยให้รู้จักบริโภค ไม่ตกเป็นทาสของสิ่งล่อเร้าเย้ายวน
การคิดถูกคิดชอบต้องอาศัยการฟังและอ่านสิ่งที่มีประโยชน์ พ่อแม่จึงควรสนับสนุนให้ลูกได้รับรู้สิ่งที่ดีงาม ได้ฟังสิ่งที่เป็นคติธรรมแก่ชีวิต เช่น แนะนำหนังสือที่ดี หรือรายการโทรทัศน์ที่มีประโยชน์
นอกจากนั้นเวลาดูโทรทัศน์พ่อแม่ควรอยู่เป็นเพื่อนเพื่อช่วยแนะนำสิ่งที่มีประโยชน์แก่ลูก
การสอนลูกให้ทำความดีเป็นบุญอยู่แล้วในตัว ถ้าลูกนำไปปฏิบัติ ก็เท่ากับว่าลูกได้ร่วมทำบุญด้วย บุญที่ถูกต้องช่วยให้ชีวิตจิตใจเกิดความสะอาด สว่าง สงบ และเป็นสุขอย่างแท้จริง
ไม่มีอะไรสำคัญสำหรับมนุษย์เท่ากับสิ่งนี้ พ่อแม่พร้อมให้อะไรมากมายแก่ลูก เช่น เงิน บ้าน ที่ดิน แต่สิ่งหนึ่งที่ลืมไม่ได้คือ การสอนลูกให้รู้จักบุญและมีชีวิตที่เปี่ยมบุญ มรดกใดเล่าจะสำคัญมากไปกว่านี้
Credit : Friend For Kids