ครอบครัวหนึ่งมีพ่อแม่และลูกสี่คน ลูก ๆ ก็ยังเล็ก คนโตแค่ 12 ขวบ ครอบครัวนี้มีฐานะไม่ค่อยดี แต่มีความรักใคร่กลมเกลียวกัน วันหนึ่งขณะที่กินอาหารเย็น แม่ตักข้าวใส่จานให้ลูก ๆ พี่สาวยื่นจานไปรับข้าว แต่ว่ายื่นเร็วไปหน่อย จานไปกระทบกับจานของน้อง จึงเกิดรอยบิ่นที่ขอบจาน แม้เป็นรอยบิ่นเล็กน้อย พี่สาวก็ไม่สบายใจ เพราะว่าบ้านนี้มีเงินไม่มาก จานแต่ละใบต้องรักษาให้ดี แม้เป็นจานบิ่นก็ยังต้องใช้ต่อ ไม่ได้ทิ้งไป พี่สาวเสียใจว่าตัวเองสะเพร่า ของมีน้อยอยู่แล้ว ควรจะดูแลให้ดี
นับแต่นั้นมา เวลาใครได้รับจานใบนี้ ก็จะบ่นว่าวันนี้โชคร้ายจัง ทุกครั้งที่ได้ยินเช่นนี้ พี่สาวก็ไม่สบายใจ เพราะเป็นการตอกย้ำความสะเพร่าของตน บ่อยครั้งบรรยากาศกลางวงข้าวแย่ลงเพราะคำบ่นดังกล่าว วันหนึ่งน้องสาวคนหนึ่งได้จานใบนี้ เธอทำท่าจะบ่น พ่อเห็นจึงพูดขึ้นว่า จากนี้ไปถ้าใครได้รับจานบิ่นใบนี้ ทุกคนต้องไปหอมแก้มเขา แล้วพ่อก็เข้าไปหอมแก้มน้องเป็นคนแรก ทุกคนก็ทำตาม น้องจึงยิ้มอย่างมีความสุข
นับแต่วันนั้นมา เวลาใครได้จานใบนี้ ก็จะมีความสุขมาก เพราะรู้ว่าเดี๋ยวก็จะมีคนทั้งบ้านมาหอมแก้ม บรรยากาศก็เลยดีขึ้น ยิ่งกว่านั้นเป็นที่รู้กันว่า เวลาใครแบกความทุกข์กลับมาบ้าน พี่น้องคนอื่น ๆ จะวางจานใบนั้นไว้ข้างหน้าเขา แล้วทุกคนก็จะไปรุมหอมแก้ม ทำให้ความเศร้าความเครียดของคนนั้นหายไปทันที
ตอนหลังบ้านนี้ก็มีฐานะดีขึ้นเรื่อย ๆ เพราะว่าพ่อแม่ขยันขันแข็งทำมาหากิน มีจานชามเพิ่มมาหลายชุด ส่วนจานใบบิ่น เมื่อเวลาผ่านไปก็ต้องโละทิ้งไป แต่ทุกคนก็ยังนึกถึงจานบิ่นใบนั้น
หลายปีผ่านไป ครอบครัวนี้ไปกินอาหารที่ภัตตาคารแห่งหนึ่ง ตอนที่พนักงานเอาจานมาวาง ลูก ๆ สังเกตเห็นว่าจานของพ่อมีรอยบิ่นเล็ก ๆ แต่แทนที่ลูก ๆ จะไปบอกให้พนักงานมาเปลี่ยนจาน ทุกคนต่างลุกไปหอมแก้มพ่อและกอดพ่ออย่างมีความสุข กลายเป็นว่าจานบิ่น ซึ่งเดิมเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากได้ กลับกลายเป็นสิ่งที่ทำให้ครอบครัวนี้มีความสุข
ผู้หญิงคนที่เล่าเรื่องนี้ บอกว่าจานบิ่นเปรียบเหมือนความบกพร่องหรือสิ่งไม่พึงปรารถนาที่ผ่านเข้ามาในชีวิต แต่ว่าพ่อกลับสอนให้ลูก ๆ รู้จักมองเห็นคุณค่าหรือด้านดีของมัน หรือทำให้มันกลายเป็นสิ่งที่ดี
ความบกพร่องบางครั้งก็ไม่ได้เกิดขึ้นชั่วคราว แต่เกิดขึ้นยาวนาน แม้กระนั้นมันก็มีข้อดี หรือเป็นสื่อแห่งความสุขได้เหมือนกัน
อ่านเรื่องนี้แล้ว ทำให้นึกถึงเรื่องราวของคนคนหนึ่ง ซึ่งหลายคนรู้จักดี เป็นนักแต่งเพลงชื่อดัง บอย โกสิยพงษ์ บอยเล่าว่าตอนเด็ก ๆ เขาหัวทึบมาก ผิดกับพี่น้อง พี่น้องเรียนดี สอบได้คะแนนดี 80-90 เปอร์เซ็นต์ ส่วนตัวเขาสอบทีไรไม่บ๊วยก็รองบ๊วย แต่ก็ประคองตัวมาได้ ทั้ง ๆ ที่ตั้งใจเรียนมาก แต่หัวไม่ไป แต่พอถึงมัธยม 3 วันหนึ่ง อธิการหรือผู้อำนวยการก็เรียกมาบอกว่าเธอได้เกรดแค่ 1.04 เรียนต่อ ม.4 ไม่ได้ ต้องออกไปหาโรงเรียนใหม่
พอแม่รู้เข้า แทนที่จะดุด่า กลับบอกว่าโรงเรียนนี้น่าจะไม่เหมาะกับบอย ครูคงสอนไม่เก่ง เราไปหาโรงเรียนใหม่ที่เหมาะกับบอยดีกว่า แล้วบอยก็ได้โรงเรียนใหม่ แต่ก็เหมือนเดิม เขาต้องออกจากโรงเรียนหลายครั้ง แต่แม่ก็ไม่เคยว่า กลับให้กำลังใจ แม่บอกว่า “ดีแล้วที่บอยไม่เรียนเก่งแบบพี่น้องคนอื่น ๆ เพราะตอนเด็ก ๆ แม่โง่มากเลย การบ้านแม่ก็ทำไม่ได้ สอบก็ไม่ได้ ลอกเพื่อนประจำเลย เพราะฉะนั้น แม่ก็จะได้มีบอยเป็นเพื่อนสักคนหนึ่งในบ้านที่เป็นเหมือนแม่” บอยบอกว่า คำพูดของแม่ทำให้เขาไม่รู้สึกโดดเดี่ยว กลับรู้สึกว่าโง่เหมือนแม่ก็ดีนะ
บอยบอกว่าเขาเองรู้ว่าหัวไม่ดี ตั้งใจเรียนมาก ฉีกหนังสือออกมาท่องทีละหน้า ทีละบท แต่ก็ท่องไม่ได้ รู้สึกแย่ที่เรียนไม่เก่งเหมือนพี่น้อง แต่พอแม่พูดเช่นนี้ เขารู้สึกว่าโง่ก็ดีเหมือนกัน เป็นเพื่อนแม่ แล้วสุดท้ายเขาก็มาเอาดีทางด้านการแต่งเพลง
เรื่องนี้ก็เหมือนกับเรื่องจานบิ่น ลูกได้จานบิ่นแทนที่จะเสียใจ กลับดีใจเพราะได้รับการหอมแก้มจากทุกคนในบ้าน พ่อทำให้ลูก ๆ เห็นว่า ข้อบกพร่องมันก็มีข้อดีเหมือนกัน ข้อบกพร่องมีหลายอย่าง บางคนเรียนไม่เก่ง บางคนมีรูปร่างไม่สมส่วน หรือพิการ แต่ถ้าได้สิ่งแวดล้อมหรือครอบครัวที่ดี สอนให้รู้จักมอง ก็ไม่รู้สึกด้อย อย่างเช่นแม่ของบอยที่ทำให้บอยได้คิดว่า หัวทึบก็ดีเหมือนกัน เพราะได้เป็นเพื่อนแม่
คำพูดหรือการกระทำดังกล่าวทำให้คนเกิดกำลังใจ ไม่ดูถูกตัวเอง ไม่รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ และมีพลังที่จะพัฒนาความสามารถด้านอื่นให้งอกงาม ทำให้สามารถก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยความมั่นใจเรื่องของบอยยังเป็นอุทาหรณ์สอนใจว่า ถึงแม้จะหัวไม่ดี เรียนได้เกรดต่ำ ก็ไม่ได้แปลว่าไม่เก่ง อาจจะเก่งทางด้านดนตรีหรือศิลปะก็ได้ หากหันมาเอาดีทางนี้ หรือได้รับความสนับสนุนอย่างถูกจุด ก็สามารถพัฒนาตนจนเป็นเลิศในสิ่งนั้น ข้อสำคัญคืออย่าดูถูกตัวเอง หาศักยภาพหรือความสามารถของตนให้พบ แล้วพัฒนาสิ่งนั้นให้เต็มที่ ก็จะพบกับความสำเร็จได้ในที่สุด